v
วันวาเลนไทน์
วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint
Valentine's Day)
หรือที่มักเรียกเพียง วันวาเลน ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี วันวาเลนไทน์มีการเฉลิมฉลองไทน์ (Valentine's
Day)
ในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นประเทศทางตะวันตก
แม้จะยังเป็นวันทำงานในทุกประเทศเหล่านั้นก็ตาม
"นักบุญวาเลนไทน์"
แต่เดิมเป็นเพียงการจัดพิธีสวดแก่นักบุญยุคต้นหนึ่งคนหนึ่งหรือมากกว่า ชื่อ
วาเลนตินัส
ความหมายโรแมนติกโดยนัยสมัยใหม่ล้วนถูกกวีเพิ่มเติมในอีกหลายศตวรรษต่อมาทั้งสิ้น
วันวาเลนไทน์จัดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเกลาซิอุสที่ 1 ใน ค.ศ. 496
ก่อนจะถูกลบออกจากปฏิทินนักบุญทั่วไปของโรมัน (General Roman Calendar of saints) ใน ค.ศ. 1969 ภายหลัง โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6
วันวาเลนไทน์มาข้องเกี่ยวกับรักแบบโรแมนติกเป็นครั้งแรกในแวดวงสังคมของเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ ระหว่างสมัยกลางเรืองอำนาจ
(High Middle Ages) เมื่อประเพณีรักเทิดทูน (courtly
love) เฟื่องฟู จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15
วันวาเลนไทน์ได้วิวัฒนามาเป็นโอกาสซึ่งคู่รักจะแสดงความรักของพวกเขาแก่กันโดยให้ดอกไม้ ขนมหรือลูกกวาด และส่งการ์ดอวยพรกัน
v นักบุญวาเลนไทน์
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
มรณะสักขีในศาสนาคริสต์ช่วงต้นหลายคนมีชื่อว่า
วาเลนไทน์ ซึ่งวาเลนไทน์ที่มีการสรรเสริญเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์มีวาเลนไทน์แห่งโรม
(Valentinus
presb. m. Romae) และวาเลนไทน์แห่งเทอร์นี (Valentinus ep. Interamnensis m. Romae)
วาเลนไทน์แห่งโรมเป็นนักบวชในโรมผู้พลีชีพเพื่อศาสนาราว ค.ศ. 269
และถูกฝังที่เวียฟลามีเนีย (Via Flaminia) กะโหลกที่สวมมาลัยดอกไม้ของนักบุญวาเลนไน์ถูกจัดแสดงในมหาวิหารซานตามาเรียในคอสเมดิน
โรม วัตถุมงคลอื่นพบได้ในมหาวิหารซานตาพราสเซเด (Santa
Prassede) ในโรมเช่นกัน เช่นเดียวกับที่โบสถ์คาร์เมไลท์ถนนไวท์ไฟร์อาร์
(Whitefriar Street Carmelite Church) ในดับลิน ไอร์แลนด์
วาเลนไทน์แห่งเทอร์นีกลายมาเป็นบิชอปแห่งอินเตรัมนา
(Interamna,
ปัจจุบัน คือ เทอร์นี) ราว ค.ศ. 197
และกล่าวกันว่าพลีชีพเพื่อศาสนาระหว่างการเบียดเบียน (persecution) ในรัชสมัยจักรพรรดิออเรเลียน ท่านถูกฝังที่เวียฟลามีเดียเช่นกัน
แต่คนละตำแหน่งกับที่ฝังวาเลนไทน์แห่งโรม
วัตถุมงคลของท่านอยู่ที่มหาวิหารนักบญวาเลนไทน์แห่งเทอร์นีสารานุกรมคาทอลิกยังกล่าวถึงนักบุญคนที่สามที่ชื่อวาเลนไทน์
ผู้ซึ่งมีการกล่าวขานถึงในบัญชีมรณสักขียุคต้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์
ท่านพลีชีพเพื่อศาสนาในแอฟริการ่วมกับเพื่อนเดินทางจำนวนหนึ่ง
แต่ไม่มีข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับท่านอีก
ไม่มีส่วนใดที่โรแมนติกปรากฏในชีวประวัติยุคกลางตอนต้นแต่เดิมของมรณะสักขีทั้งสามท่านนี้
ก่อนที่นักบุญวาเลนไทน์จะมาเชื่อมโยงกับเรื่องรักใคร่ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 นี้
ระหว่างวาเลนไทน์แห่งโรมกับวาเลนไทน์แห่งเทอร์นีนั้นไม่มีความข้องเกี่ยวกันเลย
ศีรษะของนักบุญวาเลนไทน์ถูกเก็บรักษาไว้ในแอบบีย์นิวมินสเตอร์
วินเชสเตอร์ และเป็นที่เคารพบูชา
แต่ไม่มีหลักฐานว่านักบุญวาเลนไทน์จะเป็นนักบุญที่ได้รับความนิยมก่อนบทกวีของเชาเซอร์ในคริสต์ศตวรรษที่
14 แม้แต่ในพื้นที่วินเชสเตอร์ การเฉลิมฉลองนักบุญวาเลนไทน์มิได้แตกต่างไปจากการเฉลิมฉลองนักบุญคนอื่นอีกมาก
และไม่มีโบสถ์ได้อุทิศถึงท่าน
ในการตรวจชำระปฏิทินนักบุญโรมันคาทอลิก วันสมโภชนักบุญวาเลนไทน์ซึ่งตรงกับวันที่ 14
กุมภาพันธ์ ถูกนำออกจากปฏิทินโรมันทั่วไปและลดขั้นไปอยู่ในปฏิทินเฉพาะ (particular calendar, ท้องถิ่นหรือประจำชาติ)
ด้วยเหตุผล "แม้ความทรงจำเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์จะเก่าแก่
แต่ชื่อของท่านก็ถูกลดไปอยู่ในปฏิทินเฉพาะ เพราะ นอกเหนือไปจากชื่อของท่านแล้ว
ไม่มีข้อมูลอื่นใดทราบกันเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์ เว้นแต่ว่า
ท่านถูกฝังที่เวียฟลามิเนียเมื่อวันที่ 14
กุมภาพันธ์"วันสมโภชนี้ยังมีการเฉลิมฉลองอยู่ในบัลซาน (มอลตา) ที่ซึ่งมีการอ้างว่าพบวัตถุมงคลของนักบุญวาเลนไทน์ที่นั่น
และมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยผู้นับถือนิกายคาทอลิกดั้งเดิมที่ถือตามปฏิทินที่เก่ากว่าก่อนหน้าของสภาวาติกันที่สองนี้
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ยังมีการเฉลิมฉลองเป็นวันวาเลนไทน์ในนิกายอื่นของศาสนาคริสต์ ตัวอย่างเช่น
วันวาเลนไทน์มีระดับระดับ "พิธีฉลอง" (commemoration) ในปฏิทินของ คริสตจักรแห่งอังกฤษ และส่วนอื่นของแองกลิคันคอมมิวเนียน
ตำนาน
ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 หรือที่ 6 ผลงานชื่อ Passio Marii et Marthae ได้กุเรื่องราวการพลีชีพเพื่อศาสนาแก่นักบุญวาเลนไทน์แห่งโรม
ซึ่งปรากฏว่ามิได้มีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ใด ๆ เลยผลงานนี้อ้างว่า
นักบุญวาเลนไทน์ถูกเบียดเบียนเพราะนับถือศาสนาคริสต์
และถูกสอบสวนโดยจักรพรรดิโรมัน เคลาดิอุสที่สอง เป็นการส่วนตัว
วาเลนไทน์ทำให้จักรพรรดิเคลาดิอุสประทับใจและได้มีการสนทนากับท่าน
โดยพยายามให้เขาเปลี่ยนไปนับถือลัทธิเพเกินโรมันเพื่อรักษาชีวิตของท่าน
วาเลนไทน์ปฏิเสธและพยายามโน้มน้าวให้จักรพรรดิเคลาดิอุสหันมานับถือศาสนาคริสต์แทน
ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงถูกประหารชวิต ก่อนที่ท่านจะถูกประหารชีวิตนั้น
มีรายงานวาท่านได้แสดงปาฏิหาริย์โดยรักษาลูกสาวตาบอดของผู้คุมของขา แอสเตอเรียส (Asterius) Passio สมัยหลังย้ำตำนานนี้ โดยเสริมเรื่องกุว่า สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่
1 ได้ทรงสร้างโบสถ์ครอบสุสานของท่าน (เป็นความเข้าใจผิดกับผู้พิทักษ์ประชากร [tribune] ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ชื่อ วาเลนติโน
ซึ่งบริจาคที่ดินเพื่อสร้างโบสถ์ในขณะที่จูเลียสเป็นพระสันตะปาปา)
ตำนานได้ถูกหยิบยกขึ้นเป็นข้อเท็จจริงโดยบันทึกมรณสักขีในภายหลัง
เริ่มจากบันทึกมรณสักขีของบีดในคริสต์ศตวรรษที่ 8 และมีย้ำในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ใน Legenda
Aureaหนังสือนี้อธิบายคร่าว ๆ
ถึงกิจการของนักบุญ (Acta Sanctorum) ยุคกลางตอนต้นของนักบุญวาเลนไทน์หลายคน
และตำนานนี้ถูกจัดเข้ากับวาเลนไทน์ใต้วันที่ 14 กุมภาพันธ์
ซึ่งได้นำวีดีทัศน์ ประวัติวันวาเลนไลน์มาให้ชมเป็นการทิ้งท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น